เข้าใจ Forex Spread และการเลือกคู่เงินที่เหมาะสม: คู่มือสำหรับมือใหม่

ในตลาด Forex หนึ่งในต้นทุนการซื้อขายที่นักเทรดต้องเข้าใจคือ Spread ซึ่งมีผลต่อผลกำไรและต้นทุนการเทรดของคุณโดยตรง นอกจากนี้ การเลือกคู่เงินที่เหมาะสมยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาด บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ Forex Spread และวิธีเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

1. Forex Spread คืออะไร?

Spread คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาที่โบรกเกอร์จะซื้อจากคุณ) และราคา Ask (ราคาที่โบรกเกอร์จะขายให้คุณ) โดยแสดงในหน่วย Pips ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex

1.1 ราคา Bid และราคา Ask คืออะไร?

  • Bid (ราคาเสนอซื้อ): เป็นราคาที่โบรกเกอร์ยินดีซื้อคู่เงินจากคุณ หมายความว่าหากคุณต้องการขายคู่เงิน คุณจะขายได้ในราคานี้
  • Ask (ราคาเสนอขาย): เป็นราคาที่โบรกเกอร์ยินดีขายคู่เงินให้คุณ หมายความว่าหากคุณต้องการซื้อคู่เงิน คุณจะซื้อได้ในราคานี้

ตัวอย่าง:
หากคู่เงิน EUR/USD มีราคา Bid = 1.1000 และราคา Ask = 1.1002

  • หากคุณเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) คุณจะซื้อที่ราคา 1.1002
  • หากคุณเปิดคำสั่งขาย (Sell) คุณจะขายที่ราคา 1.1000

Spread: ส่วนต่างระหว่างราคา Ask และ Bid จะเท่ากับ 2 Pips

2. ประเภทของ Spread

2.1 Fixed Spread (ค่าสเปรดคงที่)

  • ลักษณะ: ค่าสเปรดไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวน
  • ข้อดี:
    • คาดการณ์ต้นทุนการเทรดได้ง่าย
    • เหมาะสำหรับมือใหม่
  • ข้อเสีย:
    • อาจสูงกว่า Spread แบบลอยตัวในช่วงตลาดปกติ

2.2 Variable Spread (ค่าสเปรดลอยตัว)

  • ลักษณะ: ค่าสเปรดเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด
  • ข้อดี:
    • อาจต่ำกว่าในช่วงตลาดเงียบ
  • ข้อเสีย:
    • อาจขยายตัวมากในช่วงตลาดผันผวน

คำแนะนำ:
เลือกประเภท Spread ที่เหมาะกับกลยุทธ์และช่วงเวลาที่คุณเทรด เช่น Fixed Spread สำหรับตลาดที่มีความผันผวนสูง และ Variable Spread สำหรับช่วงเวลาตลาดที่เงียบ

3. ปัจจัยที่มีผลต่อ Spread

  • สภาพคล่องของตลาด:
    คู่เงินที่มีการซื้อขายสูง เช่น EUR/USD จะมี Spread ต่ำกว่าคู่เงินที่มีสภาพคล่องต่ำ
  • ความผันผวน:
    ในช่วงที่มีข่าวสำคัญ Spread มักจะขยายตัว
  • โบรกเกอร์ที่ใช้:
    โบรกเกอร์แต่ละรายมีการกำหนด Spread ที่แตกต่างกัน

4. วิธีคำนวณต้นทุนการเทรดจาก Spread

ต้นทุนการเทรด = Spread x มูลค่าของ Pip x ขนาด Lot

ตัวอย่าง:
คุณเปิดออเดอร์ 1 Lot (100,000 หน่วย) ในคู่เงิน EUR/USD ที่มี Spread = 2 Pips
มูลค่า 1 Pip ในคู่ EUR/USD = $10

ต้นทุน = 2 Pips x $10 = $20

5. การเลือกคู่เงินที่เหมาะสม

5.1 คู่เงินหลัก (Major Pairs)

  • ตัวอย่าง: EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY
  • ข้อดี:
    • Spread ต่ำ
    • มีสภาพคล่องสูง
  • เหมาะสำหรับ: มือใหม่และนักเทรดระยะสั้น

5.2 คู่เงินรอง (Minor Pairs)

  • ตัวอย่าง: EUR/GBP, AUD/JPY
  • ข้อดี:
    • โอกาสทำกำไรจากความผันผวน
  • ข้อเสีย:
    • Spread สูงกว่าคู่เงินหลัก

5.3 คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)

  • ตัวอย่าง: USD/TRY, EUR/ZAR
  • ข้อดี:
    • ความผันผวนสูง ให้โอกาสทำกำไรเร็ว
  • ข้อเสีย:
    • Spread สูงมาก
    • มีความเสี่ยงจากสภาพคล่องต่ำ

6. เคล็ดลับการเลือกคู่เงินที่เหมาะสม

  1. พิจารณาค่าสเปรด:
    เลือกคู่เงินที่มี Spread ต่ำเพื่อช่วยลดต้นทุนการเทรด
  2. พิจารณาความผันผวน:
    หากคุณชอบการเทรดระยะสั้น (Scalping) ให้เลือกคู่เงินที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว เช่น GBP/USD
  3. พิจารณาช่วงเวลาที่คุณเทรด:
    • ช่วงตลาดยุโรป-อเมริกา: EUR/USD, GBP/USD มีความเคลื่อนไหวสูง
    • ช่วงตลาดเอเชีย: AUD/USD, USD/JPY มักมีการเคลื่อนไหว
  4. ศึกษาข้อมูลข่าวสาร:
    คู่เงินบางคู่ตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจ เช่น USD/JPY มักเคลื่อนไหวเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น

7. ตัวอย่างการเลือกคู่เงินและ Spread

สถานการณ์ 1: เทรดระยะสั้น (Scalping)

  • คู่เงินที่เลือก: EUR/USD
  • เหตุผล:
    • Spread ต่ำ (ปกติ 1-2 Pips)
    • มีสภาพคล่องสูง

สถานการณ์ 2: เทรดตามแนวโน้ม (Swing Trading)

  • คู่เงินที่เลือก: GBP/JPY
  • เหตุผล:
    • ความผันผวนสูง เหมาะสำหรับการทำกำไรระยะกลาง

สถานการณ์ 3: เทรดตามข่าว

  • คู่เงินที่เลือก: USD/CAD
  • เหตุผล:
    • มีการเคลื่อนไหวชัดเจนเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับราคาน้ำมัน

สรุป

การเข้าใจ Forex Spread และการเลือกคู่เงินที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกคู่เงินที่มี Spread ต่ำและสอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

คำแนะนำสุดท้าย:
อย่าลืมพิจารณาช่วงเวลาที่คุณเทรดและศึกษาข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลต่อคู่เงินที่คุณสนใจ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในตลาด Forex!

Tags: